จำนวนเชิงซ้อน (
อังกฤษ : complex number) ในทาง
คณิตศาสตร์ คือ เซตที่ต่อเติมจากเซตของ
จำนวนจริงโดยเพิ่มจำนวน
i ซึ่งทำให้สมการ
i2 + 1 = 0 เป็นจริง และหลังจากนั้นเพิ่มสมาชิกตัวอื่นๆ เข้าไปจนกระทั่งเซตที่ได้ใหม่มีสมบัติปิดภายใต้การบวกและการคูณ จำนวนเชิงซ้อน
z ทุกตัวสามารถเขียนอยู่ในรูป
x + iy โดยที่
x และ
y เป็นจำนวนจริง โดยเราเรียก
x และ
y ว่า
ส่วนจริง (real part) และ
ส่วนจินตภาพ (imaginary part) ของ
z ตามลำดับ
เซตของจำนวนเชิงซ้อนทุกตัวมักถูกแทนด้วยสัญลักษณ์

จากนิยามข้างต้นเราได้ว่าเซตของจำนวนจริงเป็นสับเซตของเซตของจำนวนเชิงซ้อน ดังนั้นจำนวนจริงทุกตัวเป็นจำนวนเชิงซ้อน เราสามารถบวก ลบ คูณ และหารสมาชิกสองตัวใดๆ ของเซตของจำนวนเชิงซ้อนได้ (เว้นแต่ในกรณีที่ตัวหารคือศูนย์) และผลลัพธ์ที่ได้จำเป็นจำนวนเชิงซ้อนเสมอ ดังนั้นในทางคณิตศาสตร์เราจึงกล่าวว่าเซตของจำนวนเชิงซ้อนเป็น
ฟีลด์ นอกจากนี้เซตของจำนวนเชิงซ้อนยังมีสมบัติปิดทางพีชคณิต (algebraically closed) กล่าวคือ
พหุนามที่มี
สัมประสิทธิ์เป็นจำนวนเชิงซ้อนจะมี
ราก (พหุนาม)เป็นจำนวนเชิงซ้อนด้วย สมบัตินี้เป็นที่รู้จักในชื่อ
ทฤษฎีบทมูลฐานของพีชคณิต
นอกจากนี้ ในทางคณิตศาสตร์แล้วคำว่า "เชิงซ้อน" ถูกใช้เป็นคำคุณศัพท์ที่มีความหมายว่าฟีลด์ของตัวเลขที่เราสนใจคือฟีลด์ของจำนวนเชิงซ้อน ยกตัวอย่างเช่น
การวิเคราะห์เชิงซ้อน, พหุนามเชิงซ้อน, แมทริกซ์เชิงซ้อน, และพีชคณิตลีเชิงซ้อน เป็นต้น
นิยาม
ฟีลด์ของจำนวนเชิงซ้อน
ฟีลด์ของจำนวนเชิงซ้อน

ประกอบด้วยเซตของคู่ลำดับ
(a,b) ทั้งหมดโดยที่
a และ
b เป็นจำนวนจริง และ
ปฏิบัติการสองตัวคือ
+ (การบวก) และ

(การคูณ) โดยปฏิบัติการทั้งมีนิยามดังต่อไปนี้
ให้
(a,b) และ
(c,d) เป็นจำนวนเชิงซ้อนใดๆ


เมื่อการบวก การลบ และการคูณภายในคู่ลำดับคือการบวก การลบ และการคูณจำนวนจริง
เซตของจำนวนเชิงซ้อนและปฏิบัติการทั้งสองมีสมบัติเป็น
ฟีลด์ กล่าวคือ
- การบวกและการคูณมีสมบัติปิด การสลับที่ การเปลี่ยนกลุ่ม และการแจกแจง
- มีเอกลักษณ์การบวกคือ (0,0)
- มีเอกลักษณ์การคูณคือ (1,0)
- อินเวอร์สการบวกของ z = (a,b) (เขียนแทนด้วย − z) คือ (-a,-b)
- ถ้าหาก
อินเวอร์สการคูณของ z (เขียนแทนด้วย z − 1) คือ 
จำนวนเชิงซ้อนในฐานะปริภูมิเวกเตอร์และฟีลด์ต่อเติม
อนึ่ง เราอาจมองเซตของจำนวนเชิงซ้อนเป็น
ปริภูมิเวกเตอร์สองมิติบนเซตของจำนวนจริง เราสามารถใช้การบวกจำนวนเชิงซ้อนแทนการบวกเวกเตอร์ และการคูณด้วย
สเกลาร์สามารถนิยามได้ดังต่อไปนี้
เมื่อ c เป็นจำนวนจริงและ (a,b) เป็นจำนวนเชิงซ้อนใดๆ
ด้วยเหตุนี้เราได้ว่า
ฐานหลักหนึ่งของเซตของจำนวนเชิงซ้อนประกอบด้วยเวกเตอร์
(1,0) และ
(0,1) กล่าวคือเราสามารถเขียนจำนวนเชิงซ้อนทุกตัวในรูปของ
ผลรวมเชิงเส้นของเวกเตอร์ทั้งสอง:

ตามความนิยม เรามักแปลความหมายของ
(a,0) = a(1,0) ว่าเป็นจำนวนจริง
a (ด้วยเหตุนี้เราจึงกล่าวว่าเซตจำนวนจริงเป็นสับเซตของเซตจำนวนเชิงซ้อน) และมักใช้สัญลักษณ์
i แทน
(0,1) จำนวนเชิงซ้อน
(a,b) จึงเขียนได้อีกแบบหนึ่งว่า
a + bi ซึ่งเป็นที่นิยมใช้มากกว่าแบบคู่ลำดับ
จากนิยามการคูณจำนวนเชิงซ้อนข้างต้น เราได้ว่า
i2 = ( − 1,0) = − 1 นั่นคือ
i เป็นคำตอบของสมการ
x2 + 1 = 0 ซึ่งไม่สามารถหาคำตอบได้ในเซตของจำนวนจริง ดังนั้น เซตของจำนวนเชิงซ้อนจึงเป็น
ฟีลด์ต่อเติม (field extension) ของเซตของจำนวนจริงโดยการเพิ่ม
รากของพหุนาม
x2 + 1 อีกนัยหนึ่ง เซตของจำนวนเชิงซ้อนคือ
ริงผลหาร (quotient ring) ของ
ริงพหุนาม ![\mathbb{R}[x]](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/math/d/3/0/d30c4d8a82d45c0e3a53461a45ca72b5.png)
กับ
ไอดีล (x2 + 1) เขียนเป็นประโยคสัญลักษณ์ได้ว่า
![\mathbb{C} = \mathbb{R}[x]/(x^2+1)](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/math/5/a/c/5ac3abb6998c787c5115e49600c4e3b8.png)
สัญลักษณ์และคำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง
ส่วนจริงและส่วนจินตภาพ
ถ้า

เราเรียก
a ว่า
ส่วนจริง ของ
z เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์

และเราเรียก
b ว่า
ส่วนจินตภาพ ของ
z เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์

เราเรียกจำนวนเชิงซ้อนที่มีส่วนจริงเป็น 0 และส่วนจินตภาพไม่เป็น 0 ว่า
จำนวนจินตภาพ (imaginary number)
สังยุคเชิงซ้อน
ถ้า

เป็นจำนวนเชิงซ้อน สังยุคของ
z คือ

เราเขียนแทนสังยุคของ
z ด้วย

สังยุคของจำนวนเชิงซ้อนมีสมบัติสำคัญๆ ดังต่อไปนี้




เมื่อ
z,
z1,
z2 เป็นจำนวนเชิงซ้อนใดๆ
ขนาดของจำนวนเชิงซ้อน
ขนาดของจำนวนเชิงซ้อน

เขียนแทนด้วย
| z | คือจำนวนจริงบวก

เราอาจแปลความหมายของขนาดของจำนวนเชิงซ้อนได้ว่าเป็นความยาวของเส้นตรงที่ลากจากจุด (0,0) ไปยังจุด (a,b) บน
ระนาบคาร์ทีเชียน ขนาดของจำนวนเชิงซ้อนมีสมบัติสำคัญๆ ดังต่อไปนี้



(อสมการสามเหลี่ยม)

ก็ต่อเมื่อ 
เมื่อ
z,
z1, และ
z2 เป็นจำนวนเชิงซ้อนใดๆ จากสมบัติข้อที่สองและการแทนจำนวนจริง
a ด้วยจำนวนเชิงซ้อน
(a,0) ทำให้เราได้ว่าถ้า

ระนาบเชิงซ้อน
เรายังสามารถมองจำนวนเชิงซ้อนเป็นจุดหรือเวกเตอร์บน
ระนาบคาร์ทีเซียนสองมิติ และมักจะเรียกระนาบนี้ว่า
ระนาบเชิงซ้อน (complex plane) หรือ
ผังของอาร์กานด์ ตามชื่อของ
ชอง-โรแบร์ต อาร์กานด์ ผู้ค้นพบ
พิกัดคาร์ทีเซียนของจำนวนเชิงซ้อน

คือ
(a,b) ในขณะที่
พิกัดเชิงขั้วคิอ

เมื่อ
r = | z | และ

เป็นมุมที่เวกเตอร์
(a,b) ทำกับแกน
x ในหน่วย
เรเดียน เราเรียก

ว่า
อาร์กิวเมนต์ของ
z และเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์
arg(z) สังเกตว่าจำนวนเชิงซ้อนที่มีอาร์กิวเมนต์ต่างกันเท่ากับผลคูณของจำนวนเต็มกับ
2π จะมีค่าเท่ากัน
สูตรของออยเลอร์ช่วยแสดงความสัมพันธ์ระหว่างพิกัดคาร์ทีเซียนและพิกัดเชิงขั้ว อีกทั้งยังช่วยให้เราสามารถเขียนจำนวนเชิงซ้อนได้อีกรูปแบบหนึ่งดังต่อไปนี้

และเรายังสามารถพิสูจน์ได้ว่า

และ

เมื่อ

ด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถมองการคูณจำนวนเชิงซ้อนตัวหนึ่งๆ ว่าเป็นการหมุนและการยืด (หรือหด) เวกเตอร์ด้วยอาร์กิวเมนต์และขนาดของจำนวนเชิงซ้อนตัวนั้นตามลำดับ
การคูณด้วย
i = eiπ / 2 จึงสมมูลกับการหมุนเวกเตอร์ 90 องศาทวนเข็มนาฬิกา สมการ ฉะนั้นเราสามารถเข้าใจความหมายของสมการ
i2 = − 1 ได้อีกนัยหนึ่งว่า "การหมุน 90 องศาสองครั้งมีค่าเท่ากับการหมุน 180 องศา" หรือ "เมื่อหมุนเวกเตอร์
(0,1) ไป 90 องศา ผลลัพธ์ที่ได้คือเวกเตอร์ (-1,0)"
สมบัติต่างๆ
การเรียงลำดับ

ไม่เป็น
ฟีลด์อันดับ กล่าวคือเราไม่สามารถเรียงลำดับจำนวนเชิงซ้อนโดยที่การเรียงลำดับนั้นสอดคล้องกับการบวกและการคูณจำนวนเชิงซ้อนได้เลย
ปริภูมิเวกเตอร์
อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น

เป็นปริภูมิเวกเตอร์สองมิติบน

เราได้ว่า
การแปลงเชิงเส้นบน

(

-linear map) ทุกตัวจะสามารถเขียนได้ในรูป

เมื่อ
a และ
b เป็นจำนวนเชิงซ้อนใดๆ เราได้ว่าฟังก์ชัน
f1(z) = a(z) เป็นการหมุนและการยืดเวกเตอร์ ส่วนฟังก์ชัน

นั้นประกอบด้วยการหมุน การพลิก และการยืดเวกเตอร์ในฟังก์ชันเดียว สังเกตว่า
f1 เท่านั้นที่เป็นการแปลงเชิงเส้นบน

และเป็นฟังก์ชัน
โฮโลมอร์ฟิก เราสามารถหาอนุพันธ์ของ
f2 ได้ในเซตของจำนวนจริง แต่อนุพันธ์นั้นไม่สอดคล้องกับ
สมการโคชี-รีมันน์
สมบัติเชิงพีชคณิต

(หรือฟีลด์อื่นที่
สมสัณฐานกับ
C) จะมีลักษณะจำเพาะสามประการ ดังนี้
ด้วยเหตุนี้

จึงมี
ฟีลด์ย่อยแท้ที่สมสัณฐานกับตัวมันเองอยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้
กาลอยด์กรุปของ

บนเชตของ
จำนวนตรรกยะมีขนาดเท่ากับ
เซตกำลังของเซตของจำนวนจริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น